“เพราะถุงศพ ไม่มีกระเป๋า” ชายชราที่ Bill Gates และ Warren Buffett นับถือเป็นแบบอย่าง

23.30 น. ผมกำลังเตรียมตัวเข้านอน แต่ว่าหยิบมือถือขึนมาเข้าไปแอพ Tiktok เจอคลิปเกี่ยวกับชายชราคนหนึ่ง ซึ่งโปรยหัวคลิป “เพราะถุงศพ ไม่มีกระเป๋า” อ่านแล้วแปลกดี จึงลองเปิดฟัง เนื้อเรื่องรายละเอียดก็เป็นอย่างที่จะนำเสนอต่อไปนี้ครับ

ถ้าเรามีเงิน 2 แสนล้านบาท เราจะทำอะไรกับมันอย่างแรก ?
เงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ เราสามารถใช้ซื้ออาณาจักรค้าส่ง Makro ในประเทศไทย ได้ทั้งบริษัท (มูลค่าบริษัท สยามแม็คโคร ณ ปัจจุบันอยู่ที่ราว ๆ 190,000 ล้านบาท ในปี 2021 )
หรือบางคนอาจเลือกนำเงินเยอะขนาดนี้ ไปใช้เพื่อซื้อความสุขให้กับตัวของเราเอง อยู่อย่างสุขสบาย เพื่อเป็นรางวัลให้กับชีวิต เพื่อฉลองให้กับความสำเร็จ

แต่สำหรับชายคนที่ชื่อว่า Chuck Feeney ความสุขของเขาคือ การนำเงินตัวเองคืนกลับสู่สังคม และได้ให้คำมั่นสัญญาว่าเขาจะตายจากโลกนี้ไป “ด้วยเงิน 0 บาท”

ว่าแต่.. Chuck Feeney คือใครกัน ? 

Charles Chuck Feeney เป็นชาวอเมริกัน เกิดปี 1931 ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา
ซึ่งตรงกับช่วงที่สหรัฐอเมริกาประสบกับวิกฤติครั้งยิ่งใหญ่ ที่เราเรียกวิกฤตินั้นว่า “The Great Depression” พอดี
Feeney สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง จากการทำธุรกิจ Duty Free หรือธุรกิจร้านค้าปลอดภาษี ที่เขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำที่ประเทศฮ่องกงร่วมกับเพื่อนสนิทของเขา Robert Miller
ธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีของเขา ก่อตั้งขึ้นในปี 1960 โดยมีชื่อว่า DFS Group
ต่อมาในปี 1996 Miller และ Feeney ได้ขายกิจการของ DFS Group ให้กับเจ้าของแบรนด์หรูจากประเทศฝรั่งเศสอย่าง LVMH โดยมูลค่าดีลนี้ สูงถึงราว ๆ 54,000 ล้านบาท ทำให้ทั้ง Miller และ Feeney ร่ำรวยมหาศาล


ชายชราที่ดูยากจนและแสนธรรมดา แต่สิ่งที่เขาทำ กลับทำให้มหาเศรษฐีของโลก อย่าง Bill Gates และ Warren Buffett นับถือและนำมาเป็นแบบอย่าง

Chuck Feeney ชายชราวัย 76 ปี เช่าบ้านอาศัยอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกกับภรรยา เขาไม่เคยสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม เขาไม่ชอบทานอาหารหรู ที่เขาชอบที่สุดคือแซนวิชชีสย่างมะเขือเทศที่ราคาแสนถูก เขาใช้แว่นตาเก่าๆ ใส่นาฬิกาธรรมดา และไม่มีรถขับ การเดินทางก็มักใช้บริการรถโดยสาร

หากคุณไปทานอาหารกับเขา เขาจะตรวจสอบบิลอย่างละเอียด หากคุณอาศัยอยู่ในบ้านของเขา ก่อนที่จะเข้านอน เขาจะเตือนให้คุณปิดไฟอย่างแน่นอน

คนจนที่มัธยัสถ์เช่นนี้ คุณรู้ไหม ก่อนเขาอายุ 76 เขาได้ทำอะไรมาบ้าง?

เขาได้บริจาคเงิน 588,000,000 เหรียญสหรัฐให้มหาวิทยาลัยคอร์แนล โดยห้ามมหาวิทยาลัยไม่ให้ประกาศชื่อผู้บริจาค

บริจาค 125,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

และบริจาค 60,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต

เขายังได้ลงทุน 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อปรับปรุงมหาวิทยาลัยอีก 7 แห่ง และอีก 2 แห่งในไอร์แลนด์เหนือ

เขาจัดตั้งกองทุนการกุศล ให้ค่ารักษาพยาบาลฟรี สำหรับเด็กปากแหว่ง ในประเทศที่กำลังพัฒนา

เขาได้บริจาคเงินทั้งสิ้น 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ และยังมีอีก 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ รอที่จะบริจาค

ชายชราผู้ใจกว้างมากท่านนี้ เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของ DFS บริษัทดิวตี้ฟรีอันดับ 1 ของโลก เขารักการหาเงิน แต่จะใช้เงินอย่างประหยัดมาก

ขณะนี้ Chuck Feeney มีความปรารถนาว่า ก่อนปี 2016 เขาจะบริจาคเงินที่เหลือให้หมด เพื่อจะได้ตายตาหลับ ขณะนี้เงินที่เหลืออยู่ได้กระจายไปทั่วโลกให้พื้นที่จำเป็น ในอัตรา 400,000,000 เหรียญสหรัฐ ต่อปี

เขาเป็นตัวอย่างสำหรับคนรวยที่ว่า “ในขณะที่มีความสุขกับชีวิต ให้แบ่งปันความสุขนี้ให้กับผู้อื่นด้วย”

การทำการกุศลของ Chuck Feeney เป็นที่โด่งดังมาก ผู้สื่อข่าวจำนวนมากเดินทางมาถึงบ้านของเขา ทุกคนล้วนแปลกใจ และถามว่า “Chuck Feeney คุณมีทรัพย์สินมากมาย ทำไมถึงไม่ไปมีชีวิตที่สวยหรู…”

เพื่อตอบข้อสงสัยของทุกคน Chuck Feeney ยิ้มและบอกเล่าเรื่องราว:

“สุนัขจิ้งจอก พบไร่องุ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้ อยากจะเข้าไปในไร่ เพื่อกินองุ่นให้เต็มที่ แต่มันอ้วนเกินไป เลยมุดผ่านรั้วไปไม่ได้”

“ดังนั้นมันจึงไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน และแล้วตัวมันก็ผอมลง และมุดผ่านรั้วไปได้!”

“เมื่อกินอิ่มเป็นที่พึงพอใจแล้ว แต่…ตอนที่จะกลับออกไป กลับออกไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือก มันเลยต้องอดน้ำอดอาหาร อีกสามวันสามคืน”

“สุดท้ายแล้วท้องของมันตอนที่ออกมาก็เหมือนกับตอนที่มันเข้าไป”

 เมื่อเล่าเสร็จ Chuck Feeney กล่าวว่า

“บนสวรรค์นั้นไม่มีธนาคาร ทุกคนเกิดมากับความว่างเปล่า ในที่สุดก็ จากไปมือเปล่า ไม่มีใครสามารถนำความมั่งคั่งกลับไปได้ “

สื่อถาม Chuck Feeney ทำไมต้องบริจาคออกไปจนหมด

คำตอบของเขาง่ายมาก และไม่มีใครคาดถึง เขากล่าวว่า

“เพราะถุงศพไม่มีกระเป๋า”

ที่จริงแล้วความจนของเขา เกิดจากการบริจาคเงินมหาศาล เขาช่างเป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ สิ่งที่เขาได้มา ได้ส่งคืนกลับไปสู่สังคมทั้งหมด มันทำให้เขามีความสุขมากกว่ามีเงินเป็นหมื่นล้านเสียอีก


ผมอ่านรายละเอียดของชายชราท่านนี้จบ ก็เกิดความคิดครับว่า จริงๆแล้ว เป้าหมาย หรือ แรงบันดาลใจ ของเรามันเล็กมากครับ เพราะที่ทำก็เพื่อตัวเราหรือคนที่เรารักไม่กี่คน เมื่อเทียบกับของบางคน

มันจะเป็นไปได้ไหมที่ขนาดมันจะขยายกว้างขึ้น เพื่อคนอื่นที่เราไม่ได้รู้จักด้วย มันคงดีมากทีเดียว

แล้วคุณล่ะ คิดเหมือนกันไหมครับ ?